มุมแนะนำ

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

10 อันดับรถที่แรงที่สุด

10 สุดยอด...รถที่เร็วที่สุดในโลก 2010

10. Porsche Carrera GT : 205 mph

Porsche Carrera GT ทำความเร็วสูงสุด 205 miles/hr อัตราเร่ง 0 – 60 mph ใน 3.9 วินาที ตัวถังอลูมิเนียม เครื่องยนต์ 68 Degree, Water Cooled V10 Engine 612 แรงม้า ราคาเริ่มต้นที่ $440,000 เป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและก็แพงที่สุดของ Porsche ในขณะนั้น จุดเด่นของรถรุ่นนี้คือการนำเทคโนโลยีเซรามิกเข้ามาช่วยทำฐานวางเครื่องยนต์ทำให้สามารถวางเครื่องยนต์ใน Chassis ได้ต่ำกว่ารถรุ่นอื่นๆ เป็นการลดศูนย์ถ่วงทำให้สมดุลย์ดีขึ้น


9. Lamborghini Murcielago LP640 : 211 mph

Lamborghini Murcielago LP640 ทำความเร็วสูงสุด 211 miles/hr อัตราเร่ง 0 – 60 mph ใน 3.3 วินาที เครื่องยนต์ V12 Engine 640 แรงม้าที่ 8000 rpm ราคาเริ่มต้นที่ $430,000 เป็นรถ 2 ที่นั่ง 2 ประตู 6 speeds


8. Pagani Zonda F : 215 mph

Pagani Zonda F ทำความเร็วสูงสุดที่ 215 miles/hr อัตราเร่ง 0 – 60 mph ใน 3.5 วินาที เครื่องยนต์ Mercedes Benz M180 V12 Engine 650 แรงม้า ราคาเริ่มต้น $667,321 เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 2005


7. Jaguar XJ220 : 217 mph

Jaguar XJ220 ทำความเร็วสูงสุดได้ 217 miles/hr เช่นกัน อัตราเร่ง 0 – 60 mph ใน 3.8 วินาที เครื่องยนต์แบบ Twin Turbo V6 Engine 542 แรงม้าที่ 7200 rpm 6 speeds ราคาเริ่มต้นที่ $650,000 ผลิตในปี 1992


6. Ferrari Enzo : 217 mph

Ferrari Enzo ทำความเร็วได้สูงสุดที่ 217 miles/hr อัตราเร่ง 0 – 60 mph ใน 3.4 วินาที เครื่องยนต์ F140 Aluminum V12 Engine ความจุ 4700 cc 660 แรงม้า ราคาเริ่มต้นที่ $670,000 ผลิตขึ้นเพียง 399 คันเท่านั้น นั่นแสดงว่ายิ่งรถเหลือน้อยเท่าไรราคายิ่งสูงขึ้นตามไปด้วยน่ะสิ ซึ่งราคาปัจจุบันเกิน $1,000,000 ไปแล้ว ตัวถังทำจาก carbon fiber ทำให้เบา


5. McLaren F1 : 240 mph

McLaren F1 ทำความเร็วได้สูงสุด 240 miles/hr อัตราเร่ง 0 – 60 mph ใน 3.2 วินาที เครื่องยนต์ BMW S70/2 60 Degree V12 Engine 627 แรงม้าที่ 7400 rpm ราคาเริ่มต้นที่ $970,000 ประตูออกแบบคล้ายปีกค้างคาว ไม่แน่ว่าจะออกมาเผื่อหนังเรื่อง Batman หรือเปล่า


4. Koenigsegg CXX : 245 mph

Koenigsegg CXX ทำความเร็วได้ 245 miles/hr อัตราเร่ง 0 – 60 ใน 3.2 วินาที เครื่องยนต์แบบ 90 Degree V8 Engine ความจุ 4700 cc 806 แรงม้าที่ 6900 rpm ราคาเริ่มต้นที่ $545,568 ผลิตขึ้นที่สวีเดน เพื่อชิงตำแหน่งรถที่เร็วที่สุดโดยเฉพาะแต่ก็ยังห่างไกลจาก SSC Ultimate Aero หรือ Bugatti Veyron


3. Saleen S7 Twin-Turbo : 248 mph

Saleen S7 Twin-Turbo ทำความเร็วได้เป็นอันดับ 3 อยู่ที่ 248 miles/hr อัตราเร่ง 0 – 60 mph ใน 3.2 วินาที เครื่องยนต์ Twin Turbo All Aluminum V8 Engine ความจุ 7000 cc 750 แรงม้าที่ 6300 rpm ราคาเริ่มต้นที่ $555,000 รูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวโดนใจ


2. Bugatti Veyron : 253 mph

Bugatti Veyron ทำความเร็วถึง 253 miles/hr อัตราเร่ง 0 – 60 mph ใน 2.5 วินาที เครื่องยนต์ Aluminum, Narrow Angle W16 Engine 1001 แรงม้า ราคาเริ่มต้นที่ $1,700,000 จัดได้ว่าเป็นรถที่แพงที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ถือได้ว่าเป็นรถที่อัตราเร่งเร็วที่สุดในโลกและมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงถูกเลือกเป็นรถสำหรับซุปเปอร์ฮีโร่อย่าง Batman


1. SSC Ultimate Aero : 257 mph

SSC Ultimate Aero ทำสถิติความเร็ว 257 miles/hr อัตราเร่ง 0 – 60 mph ใน 2.7 วินาที เครื่องยนต์ Twin-Turbo V8 Engine 1183 แรงม้า และยังสามารถปรับแต่งทั้งภายในภายนอกพร้อมทั้งจูนเครื่องพิ่มแรงม้าได้ถึง 1287 แรงม้า และสามารถทำความเร็วได้สูงที่สุดคือ 270 mph ซึ่งเป็นสถิติโลกที่ถูกบันทึกไว้ ราคาเริ่มต้นที่ $654,4000. ถูกบันทึกสถิติโลกโดย Guinness World Record ตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งเบียดชนะ Bugatti Veyron แซงมาเป็นที่ 1 กลายเป็นรถที่เร็วที่สุดในโลก

การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกหรือวงเวียน

การขับรถผ่านทางร่วมทางแยกหรือวงเวียน
1. เมื่อผู้ขับขี่รถมาถึงทางร่วมทางแยก ให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติดังต่อไปนี้

(1) ถ้ามีรถอื่นอยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถทางร่วมทางแยก นั้นผ่านไปก่อน

(2) ถ้ามาถึงทางร่วมทางแยกพร้อมกัน และไม่รออยู่ในทางร่วมทางแยก ผู้ขับขี่ต้องให้รถที่อยู่ทางด้านซ้ายของตนไปผ่านไปก่อน
(3) เว้นแต่ในทางร่วมทางแยกใดมีทางเดินรถทางเอกตัดผ่าน ทางเดิน รถทางโท ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับขี่รถในทางเอกมีสิทธิขับผ่านไปก่อน

2. ทางเดินรถทางเอก ได้แก่ ทางเดินรถที่เจ้าพนักงานจราจรได้ประกาศ และติดตั้งเครื่อง หมายจราจร แสดงว่าเป็นทางเดินรถทางออกหรือป้าย "หยุด" อยู่ที่ริมทางร่วมทางแยกนั้นให้ถือว่าเป็นทางเดิน รถทางโท
ทางดินรถอื่นนอกจากทางเดินรถทางเอก ตามวรรคหนึ่งให้ถือว่าเป็นทาง เดินรถ ทางโท

3. ในกรณีที่วงเวียนใดได้ติดตั้งสัญญาณจราจร ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตาม สัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจรนั้น
- ถ้าไม่มีสัญญาณจราจร หรือเครื่องหมายจราจรตามวรรคหนึ่ง เมื่อ ผู้ขับขี่รถมาถึงวงเวียนต้องให้สิทธิแก่ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถอยู่ในวงเวียน ทางด้านขวาของคนขับผ่านไปก่อน
- ในกรณีเจ้าพนักงานจราจรเห็นสมควร เพื่อความปลอดภัยหรือความสะดวกในการจราจรจะต้องใช้สัญญาณ จราจรเป็นอย่างอื่นแล้วนอกจากที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรที่พนักงาน เจ้าหน้าที่กำหนดให้

4. ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถออกจากทางบุคคล หรือทางเดินรถในบริเวณอาคาร เมื่อจะขับรถผ่านหรือเลี้ยวเข้าสู่ทางเดินรถ ที่ตัดผ่านต้องหยุดรถ เพื่อให้ รถที่กำลังผ่านทาง หรือรถที่กำลังแล่นอยู่ในทางเดินรถผ่านไปก่อน เมื่อ เห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับต่อไปได้


การออกรถ,การเลี้ยวรถ และการกลับรถ

1. การขับรถออกจากที่จอดรถ

(1) ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณด้วยมือและแขน หรือไปกระพริบทางขวา
(2) มองดูกระจกหลัง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการ จราจร ของรถอื่น จึงเลื่อนออกจากที่จอดรถ

2. การเลี้ยวซ้าย

(1) ในกรณีที่ไม่ได้แบ่งช่องเดินรถไว้ ให้ผู้ขับขี่รถชิดทางเดินรถด้าน ซ้าย
(2) ในกรณีที่มีการแบ่งช่องเดินรถไว้ และมีเครื่องหมายการจราจร และให้เลี้ยวซ้ายได้ให้ผู้ขับขี่รถในช่องทางเดินรถสำหรับรถที่จะเลี้ยว ซ้าย ทั้งนี้ก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่า 30 เมตร
(3) ในกรณีที่ช่องเดินรถประจำทางอยู่ทางเดินรถด้านซ้ายสุด ให้ผู้ขับขี่ รถชิดช่องเดินรถประจำทางก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่า 30 เมตร และจะเลี้ยวรถผ่านไปในช่องเดินรถประจำทางได้ เฉพาะบริเวณ
ที่มีเครื่องหมายจราจร ให้เลี้ยวรถผ่านได้เท่านั้น

3. การเลี้ยวขวา

(1) สำหรับทางเดินรถที่ไม่ได้แบ่งช่องเดินให้ผู้ขับรถชิดทางด้านขวา แนวกึ่งกลาง ของทางเดินรถก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อยกว่า 30 เมตร
(2) สำหรับทางเดินรถที่แบ่งช่องเดินรถที่แบ่งช่องเดินรถในทิศทาง เดียวกันไว้ ตั้งแต่สองช่องขึ้นไป ให้ผู้ขับขี่รถชิดทางขวาสุดทางเดินรถ หรือในช่องที่มีเครื่องหมายจราจรแสดงให้เลี้ยวขวาได้ ทั้งนี้ก่อนถึงทาง เลี้ยวไม่น้อยกว่า 30 เมตร
(3) ในกรณีที่มีช่องทางเดินรถประจำทางอยู่ทางเดินรถด้านขวาสุด ให้ผู้ขับขี่รถชิดช่องเดินรถประจำทางก่อนถึงทางเลี้ยวไม่น้อย กว่า 30 เมตร และจะเลี้ยวรถผ่านเข้าไปในช่องเดินรถประจำทางได้เฉพาะ ในบริเวณ ทีมีเครื่องหมายจราจรให้เลี้ยวรถผ่านได้เท่านั้น
(4) สำหรับทางเดินรถที่มีเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่แสดง สัญญาณจราจรด้วยมือและแขน ให้ผู้ขับขี่เลี้ยวขวาผ่านไปได้โดย ไม่ต้องอ้อมเจ้าพนักงานจราจร หรือเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่
(5) ขับรถจะเข้าทางแยกและต้องการที่จะเลี้ยวขวาก่อนอื่นต้องดูกระจก มองหลัง เพื่อดูทิศทางและการกระทำของรถที่จะแล่นตามหลัง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วให้สัญญาณเลี้ยวขวาขับรถเข้าทางกลางด้านซ้าย ของกึ่งกลางทางด้านซ้ายของกึ่งกลางทางแยก หรือตามเส้นจราจร ที่ทำไว้ทางแยก ระวังให้มีทางรถที่ผ่านด้านซ้ายด้วย เมื่อหยุดรถ อยู่จนกระทั่งรถที่สวนในทางตรงว่าแล้วจึงเลี้ยวขวาไปได้อย่าเลี้ยวขวา ติดมุม โดยไม่เข้าอยู่กลางทางแยก
* ข้อควรจำ : ดูกระจกมองหลัง-ให้สัญญาณ-หยุดรถ-มีช่องว่างจึงเลี้ยว ไปได้
(6) การเลี้ยวขวาในทางแยกที่มีเกาะแบ่งทางรถขึ้นลงต้องเลี้ยวขวา ไปหยุดรอที่หัวเกาะแบ่งทาง แล้วรอจนกระทั่งในเกาะนั้นว่าง จึงเลี้ยว ตัดออกไปได้

4. ถ้าจะเลี้ยวอ้อมวงเวียนหรือเกาะที่สร้างไว้ ให้ผู้ขับขี่รถอ้อมไปทาง ซ้ายของวงเวียนเกาะนั้นในกรณีนี้ผู้ขับขี่ต้องใช้ความระวัง และต้อง หยุดให้ทางแก่ผู้ที่กำลังข้ามทางรถหรือขับรถ กำลังผ่านทางร่วม
ทางแยกจากด้านอื่นก่อน เว้นแต่ในกรณีที่มีรถเลี้ยวซ้ายและเลี้ยวขวา พร้อมกัน ให้รถเลี้ยวซ้ายให้ทางแก่รถเลี้ยวขวาก่อน

5. ในทางเดินรถที่สวนกันได้ ห้ามมิให้ผู้ขับกลับรถในเมื่อมีรถอื่นสวน หรือตามมาในระยะไม่น้อยกว่า 50 เมตร
6. ถ้าหากการกลับรถในทางเดินรถที่สวนกันได้ จะเป็นการกีดขวาง การจราจร ห้ามมิให้ผู้ขับขี่กลับรถในทางเดินรถนั้น
7. ห้ามมิให้ผู้ขับขี่

(1) เลี้ยวรถหรือกลับรถในทางเดินรถที่มีเครื่องหมายห้ามเลี้ยวรถ, ห้ามเลี้ยวซ้ายหรือห้ามกลับรถ
(2) กลับรถที่เขตปลอดภัย, ที่คับขัน, บนสะพาน, เลี้ยวในระยะ 100 เมตร จากทางราบของเชิงสะพาน
(3) กลับรถที่ทางร่วมทางแยก เว้นแต่จะมีเครื่องหมายการจราจร ให้กลับรถในบริเวณดังกล่าวได้

ความรู้ในการขับรถ

ความรู้เกี่ยวกับการขับรถ
1. ผู้ขับขี่จะต้องใช้ความระมัดระวังไม่ให้รถชนหรือเฉี่ยวชนคนดินเท้า
ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนใดของทาง และต้องให้สัญญาณเตือนคนเดินเท้า ให้รู้ตัวเมื่อจำเป็น โดยเฉพาะเด็ก คนชราหรือคนพิการที่กำลังใช้ทาง ผู้ขับขี่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ ในการควบคุมรถของตน

2. ในการขับรถ ต้องขับรถในทางเดินรถด้านซ้าย และต้องไม่ล้ำเส้น กึ่งกลางของทางเดินรถ เว้นแต่กรณีต่อไปนี้ ให้เดินทางขวาหรือล้ำเส้น กึ่งกลางของทางเดินรถได้
(1) ด้านซ้ายของทางเดินรถมีสิ่งกีดขวางหรือถูกปิดกั้นการจราจร
(2) การเดินรถนั้นกำหนดให้เป็นทางเดินรถทางเดียว
(3) ทางเดินรถกว้างไม่ถึง 6 เมตร

3. ในการใช้ทางที่แบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่อง ขึ้นไป หรือที่ได้จัดช่องเดินรถประจำทางไว้ในช่องเดินรถซ้ายสุดผู้ขับขี่ ต้องขับรถในช่องซ้ายสุด หรือใกล้กับช่องเดินรถประจำทางเว้นแต่ ในกรณีดังต่อไปนี้ให้เดินรถทางขวาของทางเดินรถได้

(1) ในช่องเดินรถนั้นมีสิ่งกีดขวางหรือถูกปิดการจราจร
(2) ทางเดินรถนั้นเจ้าพนักงานจราจรกำหนดให้เป็นทางเดินรถ ทางเดียว
(3) จะต้องเข้าช่องทางให้ถูกต้องเมื่อเข้าบริเวณใกล้ทางร่วม ทางแยก
(4) เมื่อจะแซงขึ้นหน้าคันอื่น

4. รถบรรทุก รถบรรทุกคนโดยสาร รถจักรยานยนต์ รถที่มีความเร็วข้า หรือรถที่ใช้ความเร็วต่ำกว่าความเร็วของรถคันอื่นที่ขับไปในทาง เดียวกันผู้ขับขี่ต้องขับรถให้ใกล้ช่องทางเดินรถด้านซ้ายเท่าที่ทำได้ ถ้าทางรถนั้นได้แบ่งช่องเดินรถในทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องขึ้นไป หรือได้จัดช่องเดินรถประจำทางด้านซ้ายไว้ ต้องขับรถในช่องเดินรถ ด้านซ้ายสุด หรือใกล้กับช่องทางเดินรถประจำทาง
5. ผู้ขับขี่ซึ่งจะเลี้ยวรถ ให้รถคันอื่นผ่านหรือแซงขึ้นหน้าไปก่อน
เปลี่ยนช่องเดินรถ และลดความเร็ว จอดรถหรือหยุดรถต้องใช้สัญญาณ มือ และ/ หรือสัญญาณไฟ เป็นระยะทางไม่น้อยกว่า 30 เมตร ก่อนถึง ทางเลี้ยว

6. เมื่อขับรถสวนกัน ให้ขับรถชิดด้านซ้ายของทางเดินรถ โดยให้ถือ เส้นกึ่งกลางของทางรถเป็นหลัก หรือเส้นแนวที่แบ่งเป็นช่องเดินรถ เป็นหลัก
7. ในทางเดินรถที่แคบ เมื่อขับรถสวนกันผู้ขับขี่แต่ละฝ่ายต้องลดความ เร็วของรถเพื่อให้รถสวนกันได้โดยปลอดภัย
8. ในทางเดินรถที่แคบ ซึ่งไม่อาจขับสวนกันได้โดยปลอดภัย เมื่อขับรถ สวนกัน ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถคันที่ใหญ่กว่า ต้องหยุดรถให้ชิดของทางเดินรถ ด้านซ้าย ให้ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถคันที่เล็กกว่าผ่านไปก่อน
9. ในทางเดินรถที่มีสิ่งกีดขวาง ผู้ขับขี่ต้องลดความเร็วหรือหยุดรถ เพื่อ ให้รถที่สวนมาผ่านไปได้ก่อน
10. ผู้ขับขี่ต้องขับรถให้ห่างจากรถคันหน้าพอสมควร ในระยะที่หยุดรถ ได้โดยปลอดภัยในเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถ
11. ผู้ขับขี่ซึ่งขับรถขึ้นสะพาน หรือทางลาดชัน ต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่ให้รถถอยหลังไปโดนรถคันอื่น
12. ทางเดินรถใดที่มีเครื่องหมายจราจรแบ่งทางเดินรถออกเป็นสองทาง สำหรับรถเดินได้ทางหนึ่ง ล่องทางหนึ่ง โดยมีช่องว่างคั่นกลาง หรือ ทำเครื่องหมายจราจรกีดกั้น แสดงว่าทางเดินรถนั้นมีการแบ่งออก เป็นสองทางดังกล่าวให้ผู้ขับขี่รถชิดซ้ายของทางเดินรถ
13. ห้ามมิให้ขับขี่รถยนต์ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะเกิดอันตรายขึ้นได้
(2) ขณะเมาสุราหรือเมาอย่างอื่น, หรือเสพยาบ้า
(3) ในลักษณะกีดขวางการจราจร
(4) โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือ ทรัพย์สิน
(5) ในลักษณะผิดปกติวิสัยของการขับรถตามธรรมดา หรือไม่อาจแล เห็นทางด้านหน้าหรือด้านหลังด้านในด้านหนึ่งหรือ ทั้งสองด้านซึ่งไม่พอ แก่ความปลอดภัย
(6) คร่อมหรือทับเส้นแนวแบ่งช่องทางเดินรถ เว้นแต่เมื่อเปลี่ยน
ช่องทางเดินรถ เลี้ยวรถ หรือกลับรถ
(7) บนทางเดินเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร เว้นแต่รถลากเข็นสำหรับ ทารก คนป่วย หรือคนพิการ
(8) โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น

14. ขณะขับรถต้องนำใบอนุญาตขับขี่ติดตัวไปด้วย และใบอนุญาตนั้น จะต้องถูกต้องตามชนิดและประเภทของรถ พร้อมนำภาพถ่ายสำเนา คู่มือจดทะเบียนรถติดตัวไปด้วย อย่าเก็บภาพถ่ายสำเนาคู่มือจดทะเบียน
ไว้ในลิ้นชักรถ เพราะภาพถ่ายสำเนาคู่มือทะเบียนรถนั้น เจ้าของหรือ ผู้ขับ จะไว้ใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อป้องกันการโจรกรรมรถ หากเป็นคนร้ายขโมยรถไป ก็ไม่สามารถแสดงภาพถ่ายสำเนาคู่มือ จดทะเบียนได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะยึดรถไว้เพื่อให้เจ้าของจำหลักฐาน มาขอรับรถ

15. ผู้ขับขี่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับความหมายเครื่องหมายสัญญาณ การจราจรต่าง ๆ และแผ่นป้ายเครื่องหมายจราจรที่ติดตั้งตามถนน สายต่าง ๆ และให้ปฏิบัติตามด้วย

****www.thebag101.blogspot.com**** 

มุมแนะนำ