มุมแนะนำ

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ของแข็ง ของเหลว แก๊ส



ของแข็ง
สมบัติทั่วไป
·         แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคของของแข็งมากกว่าของเหลวและแก๊ส
·         ของแข็งมีรูปร่างแน่นอนไม่ขึ้นกับภาชนะที่บรรจุ
·         ของแข็งมีปริมาตรคงที่ที่อุณหภูมิและความดันคงที่
สมบัติเฉพาะตัวที่สำคัญดังนี้
·         อะตอมและโมเลกุลของของแข็งมีการจัดเรียงตัวอย่างมีระเบียบ
·         ของแข็งไม่สามารอัดหรือบีบให้หดตัวลงได้
·         ของแข็งชนิดเดียวกันอาจมีโครงสร้างได้หลายแบบ
·         อุณหภูมิและความดันจะมีผลน้อยมาก
·         ของแข็งสามารถตกผลึกเป็นรูปร่างต่างๆ ได้
·         ของแข็งที่ไม่เป็นผลึก เรียกว่า ของแข็งอสัณฐาน (amorphous solid) เช่น แก้ว ยาง พลาสติก
อนุภาคของของแข็ง
·         ผลึก (Crystalline solid)
อนุภาคองค์ประกอบของของแข็งเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบใน 3 มิติ เช่น กามะถัน ฟอสฟอรัส
·         ของแข็งสัณฐาน (Amorphous solid)
อนุภาคองค์ประกอบกระจายกันอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ เช่น แก้ว ยาง พลาสติก
ของเหลว (Liquid)
สมบัติทั่วไป
1.       แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลมีมากกว่าแก๊สโมเลกุลชิดกัน
o   ปริมาตรคงที่
2.       แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลไม่มากพอ
o   ตำแหน่งไม่คงที่ เกิดการไหล
o   รูปร่างไม่แน่นอน
3.       เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนและความดันเปลี่ยน ปริมาตรเปลี่ยนน้อยมาก
4.       ของเหลวมีสมบัติคล้ายแก๊ส คือมีรูปร่างไม่แน่นอน ไหลได้ แพร่ได้
5.       ของแข็ง คือ เป็นไอโซโทรปิก (isotropic) โมเลกุลอยู่ชิดกัน ไม่แพร่กระจายเต็มภาชนะ
ความตึงผิว (Surface tension)
o   งานที่ใช้ในการขยายพื้นที่ผิวของของเหลว 1 หน่วยขึ้นอยู่กับแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
o   โมเลกุลที่ผิวหน้าจะได้รับแรงดึงดูดจากโมเลกุลที่อยู่ด้านข้างและด้านล่างพื้นที่ผิวของของเหลวลดลง

แรงดึงผิว
o   แรงดึงผิวเกิดเนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวระหว่างที่โมเลกุลบริเวณผิวหน้าของๆเหลวแตกต่างจากบริเวณอื่นๆ
o   โมเลกุลบริเวณผิวหน้าของๆเหลวจะถูกดึงเข้าสู่บริเวณภายใน ทาให้เกิดการหดตัวของผิวหน้า ส่งผลให้พื้นที่ผิวของๆเหลวลดลง
การระเหย (Evaporation)
o   โมเลกุลมีพลังงานจลน์มากกว่าแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของเหลว แก๊สหรือไอ การระเหย
o   ปัจจัยที่มีผลต่อการระเหย
1) พื้นที่ผิว
2) แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
3) อุณหภูมิ
แรงเชื่อมแน่น และแรงยึดติด
o   แรงเชื่อมแน่น (Cohesive force)
o   แรงยึดติด (Adhesive force)
ความดันไอ (Vapor pressure)
ความดันไอ คือ ความดันของไอของของเหลวที่อยู่เหนือของเหลวในภาชนะปิด ที่สภาวะสมดุล
o   เมื่อไอเคลื่อนที่ชนผิวหน้าของเหลวจะควบแน่น ของเหลว เรียกว่า การควบแน่น (Condensation)
โดยที่ที่สมดุล อัตราการควบแน่น = อัตราการระเหย
ของเหลวอยู่ในสมดุลพลวัตกับไอ = ความดันไอสมดุลหรือความดันไอ


การเดือด (Boiling)
o   เมื่อของเหลวได้รับความร้อนและกลายเป็นไอทั่วทั้งปริมาตร จะเกิดเป็นฟองอากาศทั่วทั้งปริมาตรและลอยขึ้นสู่ผิวหน้าของเหลว
1.       เมื่อเพิ่มอุณหภูมิจนความดันไอ = ความดันภายนอก
2.       ทาให้ฟองอากาศลอยขึ้นสู่ผิวน้า เรียกว่า การเดือด
3.       อุณหภูมิที่ทาให้เกิดการเดือด เรียกว่า จุดเดือด
4.       (Boiling point, Tb) อุณหภูมิที่ทาให้เกิดการเดือดที่ความดันบรรยากาศ (1 atm) เรียกว่า จุดเดือดปกติ (Normal Boiling point) จุดเดือดขึ้นกับแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุล
ก๊าซ
สมบัติทั่วไปของแก็ส
1.       แก๊สมีรูปร่างเป็นปริมาตรไม่แน่นอนถ้าให้แก๊สอยู่ในภาชนะที่เปลี่ยนแปลงปริมาตร
2.       สารที่อยู่ในสถานะแก๊สมีความหนาแน่นน้อยกว่าสถานะอื่นแก๊สสามารถแพร่ได้
3.       แก็สต่างๆ ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปเมื่อนามาใส่ในภาชนะเดียวกัน แก๊สแต่ละชนิดจะแพร่ผสมกันอย่างสมบูรณ์ทุกส่วน หรือเป็นสารละลาย (Solution)
4.       แก๊สส่วนใหญ่ไม่มีสีและโปร่งใส
ทฤษฎีของก๊าซ
o   ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
1.       กฎของบอยล์ (Boyle’s Law)
2.       กฎของชาร์ลส์ (Charles’s Law)
3.       กฎของเกย์-ลูแซก (Joseph-Louise Gay-Lussc)
ปริมาตร อุณหภูมิ และความดันของแก๊ส
1.       ปริมาตรของแก๊ส คือปริมาตรของภาชนะที่ ใช้บรรจุแก๊ส ใช้สัญลักษณ์ V
2.       อุณหภูมิ เป็นมาตราส่วนที่ใช้บอกระดับความร้อน ใช้สัญลักษณ์ T (เคลวิน) และ t (องศาเซลเซียส) T (K) = 273.15 + t (C)
3.       ความดัน คือ แรงที่กระทาต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ที่ตั้งฉากกับแรงนั้น ใช้สัญลักษณ์ P

การศึกษาทางชีววิทยา



การศึกษาทางชีววิทยา
สิ่งมีชีวิตจะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญดังนี้
1. การสืบพันธุ์ (Reproduction) สิ่งมีชีวิตมีกิจกรรมการสืบพันธุ์ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจานวนของตัวเอง เพื่อการดารงเผ่าพันธุ์ของตัวเอง โดยการสืบพันธุ์มีทั้งแบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศ
2. ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ (Metabolism) กระบวนการเมแทบอลิซึมในร่างมี 2 ชนิด ได้แก่ Catabolism ปฏิกิริยาการสลายโมเลกุล เช่น การย่อยอาหาร การหายใจระดับเซลล์ ซึ่งจะมีพลังงานปลดปล่อยออกมา Anabolism ปฏิกิริยาการสร้างสารโมเลกุลใหญ่ขึ้น เช่น กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง การสังเคราะห์โปรตีน การสร้างเอนไซม์ ซึ่งมีเก็บสะสมพลังงานไว้ในโมเลกุล ในรูปของพันธะเคมี
3. การเจริญเติบโต (Growth and Development) ร่างกายของสิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในเชิงของขนาดและรูปร่างลักษณะ ได้แก่ การที่สิ่งมีชีวิตมีขนาดใหญ่ขึ้น ความสูงมากขึ้น น้าหนักมากขึ้น โดยที่สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวจะมีขนาด และอายุขัยจากัด
4. การตอบสนองต่อสิ่งเร้า (Response) เพื่อหาอาหาร หลบหนีศัตรู และปรับตัวให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อม เช่น แสง ความร้อน ความชื้น pH อากาศ เป็นต้น
5. การควบคุมสภาพภายในร่างกาย (Homeostasis) เพื่อให้กระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายดาเนินไปได้เป็นปกติ สิ่งมีชีวิตจาเป็นต้องรักษาดุลยภาพต่างๆในร่างกาย เช่น น้า เกลือแร่ ของเสีย แก๊ส pH อุณหภูมิ
6. มีลักษณะจาเพาะ (specification) สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด จะมีรูปร่าง หน้าตา สี ลักษณะแตกต่างกัน เช่น สัตว์ต่างๆจะมีอวัยวะที่ใช้ในการเคลื่อนที่ มดใช้ขา (มี 6 ขา) เต่า กับกระต่ายใช้ขาไว้เดิน (มี 4 ขา) นกมีปีกไว้บิน วาฬมีครีบใช้ไว้น้า จระเข้ใช้ขา และหางช่วยในการเคลื่อนที่ทั้งบนบก และในนํ้า

กฏหมาย




ความหมายของกฎหมาย
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
อธิบายว่า กฎหมาย คือ คาสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการแผ่นดินต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทาตามแล้ว ตามธรรมดาต้องรับโทษ
ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย
อธิบายว่า กฎหมายคือข้อบังคับของรัฐซึ่งกำหนดความประพฤติของมนุษย์ถ้าฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ
สรุปความหมายของคาว่ากฎหมาย
กฎหมาย คือ คาสั่งหรือระเบียบข้อบังคับ ใช้ควบคุมความประพฤติของบุคคล หากฝ่าฝืนมีบทลงโทษ
ลักษณะสำคัญของกฎหมาย
มีลักษณะเป็นคาสั่งหรือข้อบังคับ
1.       เป็นคาสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดขึ้นโดยผู้มีอานาจสูงสุดในรัฐ
2.       เป็นข้อบังคับที่ใช้บังคับได้ทั่วไป
3.       มีสภาพบังคับ
4.       ใช้บังคับได้ตลอดไป
ที่มาของกฎหมาย
1.       มาจากผู้มีอำนาจเหนือรัฐหรือประเทศ
2.       มีที่มาจากคาสั่งสอนของศาสนา
3.       จารีตประเพณี
4.       ตัวบทกฎหมายลายลักษณ์อักษร
ประเภทของกฎหมาย
1.       กฎหมายเอกชน
2.       กฎหมายแพ่ง กฎหมายพาณิชย์
3.       กฎหมายมหาชน
4.       กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง



กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในชีวิตประจาวัน
ประเด็นสำคัญ
1. กฎหมายบุคคล
        I.            บุคคลธรรมดา
      II.            นิติบุคคล
2. กฎหมายครอบครัวและมรดก
        I.            การหมั้น
      II.            การสมรส พินัยกรรม มรดก
3. กฎหมายทรัพย์และทรัพย์สิน
        I.            สังหาริมทรัพย์
      II.            อสังหาริมทรัพย์
4. กฎหมายพาณิชย์
        I.            สัญญากู้ยืมเงิน
      II.            การค้าประกัน จานา จานอง
    III.            การขายทอดตลาด
กฎหมายอาญาในชีวิตประจาวัน
ประเด็นสำคัญ
1. ลักษณะของกฎหมายอาญา
          I.            เป็นกฎหมายมหาชน
        II.            ไม่มีผลย้อนหลัง ยกเว้นแต่มีประโยชน์ต่อจาเลย
      III.            ต้องตีความอย่างเคร่งครัด
2. ขั้นตอนในการกระทาผิดทางอาญา
        I.            คิด
      II.            ตกลงใจกระทา
    III.            ตระเตรียมการ
    IV.            พยายามกระทาความผิด
      V.            กระทาความผิดสำเร็จ



3. การกระทาผิดทางอาญาต่อชีวิต
        I.            กระทาผิดโดยเจตนา
ตัวอย่าง
เขียวมีเจตนาตีหัวเหลืองให้ถึงแก่ความตาย และเหลืองก็ถึงแก่ความตาย
      II.            กระทาผิดโดยไม่เจตนา
ตัวอย่าง
เหลืองต้องการทาร้ายเขียวจึงใช้ไม้ตีศีรษะเขียวแต่ปรากฏว่าเขียวเลือดคั่งในสมองถึงแก่ความตาย
    III.            กระทาผิดโดยประมาท
ตัวอย่าง
ดาถือปืนไม่ระมัดระวังทาให้ปืนลั่น ถูกผู้อื่นถึงแก่ความตาย
4. โทษทางอาญา
    IV.            ริบทรัพย์สิน
      V.            ปรับ
    VI.            กักขัง
  VII.            จาคุก
VIII.            ประหารชีวิต

มุมแนะนำ