มุมแนะนำ

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผลิตภันฑ์ปิโตเลียม



เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภัณฑ์
เชื้อเพลิงฟอสซิล ได้แก่ ถ่านหิน หินน้ำมัน ปิโตรเลียม (น้ำมันและแก๊สธรรมชาติ)
ถ่านหิน (Coal) คือ หินตะกอนที่สามารถ ติดไฟได้มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบมากกว่าครึ่งหนึ่ง แบ่งเป็น 4 ประเภท แบ่งตามอายุ (เวลา ในการเกิดขึ้นเป็นถ่านหิน) ดังนี้
1.1 Lignite อายุน้อยสุด %คาร์บอนน้อยสุด (60-75%) ความชื้นสูง (>30%) มีควันและเถ้าถ่านมากเมื่อเผาใช้ผลิตไฟฟ้า, บ่มยาสูบ
1.2 Subbituminous อายุมากกว่า Lignite %คาร์บอนมากขึ้น ความชื้นต่ำลง (25-30%) ใช้ผลิตไฟฟ้าและ
อุตสาหกรรม
1.3 Bituminous อายุมากกว่า Subbituminous % คาร์บอนสูงมาก (80-90%) ความชื้นต่ำ (<10%) ใช้ถุงโลหะ
1.4 Anthacite ใช้เวลาเกิดนานสุด %คาร์บอนสูงสุด (90-98%) ความชื้นต่ำสุด (2-5%) มีค่าความร้อนสูงแต่จุดติดไฟยาก เชื้อเพลิงอุตสาหกรรม
หินน้ำมัน (Oil Shale) หินน้ำมันเป็นหินดินดานหรือหินตะกอนเนื้อละเอียด มีซากพืชซากสัตว์ทับถมภายใต้ความดันและอุณหภูมิสูง เกิดเป็นสารที่เป็นยางเหนียวเรียกว่า “Kerogen” ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของหินน้ำมัน เมื่อ นาหินน้ำมันมาเผาที่อุณหภูมิ 450-500องศาเซลเซียส ภายใต้ภาวะที่ไร้อากาศ เคโรเจนจะกลั่นออกมากลายเป็น น้ำมันหินเรียกกระบวนการดังกล่าวว่า “Retorting”การนาหินน้ำมันมากลั่นจะได้น้ำมันเบนซินเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะได้ดีเซล น้ำมันเตา บิทูเมน และถ่านโค้ก นอกจากนี้มีผลพลอยได้เป็นแอมโมเนีย (จึงนามาทาเป็นปุ๋ย แอมโมเนียมซัลเฟต) แหล่งหินน้ำมันของไทยที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
ปิโตรเลียม เกิดจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์นานนับหลายล้านปีภายใต้ความร้อนและความกดดันใต้ชั้นหิน มีแบคทีเรียเป็นตัวช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นภายใต้ภาวะที่ไม่มีออกซิเจน โดยทั่วไปแหล่งปิโตรเลียมมักถูกกักเก็บอยู่ใต้ชั้นหินดินดานที่ลักษณะคล้ายแอ่งกระทะคว่ำ ซึ่งเป็นชั้นหินที่ทึบที่ป้องกันไม่ให้ปิโตรเลียมระเหยไปหมดนอกจากนี้ยังอาจแทรกอยู่ตามรูพรุนของชั้นหินที่สามารถอุ้มน้ำมันไว้ได้
ปิโตรเลียมใต้ชั้นหินเป็นสารประกอบประเภทไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon) ซึ่งมีทั้งของเหลวและแก๊ส ของเหลว คือน้ำมันดิบ (Crude Oil) ซึ่งจะเข้าสู่กระบวนการกลั่นน้ำมันในหอกลั่นส่วนแก๊ส คือแก๊สปิโตรเลียมหรือแก๊สธรรมชาติ (Natural Gas) ซึ่งนาเข้าสู่กระบวนการแยกแก๊สธรรมชาติต่อไป
ปิโตรเลียมเกือบทั้งหมดเป็นสารไฮโดรคาร์บอนที่มีความอิ่มตัว หรือ แอลเคน (Alkane) และอาจมีไฮโดรคาร์บอนอื่นบ้าง เช่น แอลคีน (Alkene) และอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Aromatic Hydrocarbon) นอกจากนี้ยังอาจมีสารอื่นอีกเล็กน้อย เช่น สารประกอบของกามะถัน, H2, N2, CO2 เป็นต้น
- การกลั่นน้ำมันดิบ เนื่องจากน้ำมันดิบเป็นของผสมของไฮโดรคาร์บอนหลายชนิด ตั้งแต่ C1 ถึงมากกว่าC50 จึงไม่สามารถนามาใช้ได้โดยตรง การแยกน้ำมันต่างๆ ออกจากกันอาศัยกระบวนการกลั่นแบบ การกลั่นลาดับส่วนในหอกลั่น ไฮโดรคาร์บอนที่แยกได้ไม่ใช่สารบริสุทธิ์แต่จะเป็นช่วงของสารที่มีจานวนอะตอมคาร์บอนใกล้เคียงกัน
ก่อนนาน้ำมันดิบเข้าหอกลั่น จะต้องแยกน้ำและเกลือแร่ที่เป็นสิ่งเจือปนออกก่อน จากนั้นจึงให้ความร้อนแก่น้ำมันดิบการผ่านเตาเผาซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 350-400 องศาเซลเซียส น้ำมันดิบเกือบทั้งหมดจะกลายเป็นไอ ฉีดไอของน้ำมันดิบเข้าที่ด้านล่างของหอกลั่น สารที่มีจุดเดือนต่ำกว่าก็จะลอยขึ้นไปชั้นบนของหอกลั่น (ซึ่งด้านบนจะมีอุณหภูมิต่ำลงเรื่อยๆ) และจะควบแน่นออกมาเป็นส่วนๆ ตามช่วงอุณหภูมิที่ต่างกัน

ดาวเทียมและยานอวกาศ



ดาวเทียมและยานอวกาศ
1.ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา เช่น ดาวเทียม TIROS ดาวเทียม NOAA ดาวเทียม SMS/GOE ดาวเทียม GMS ดาวเทียม METEOSAT
2.ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก เช่น ดาวเทียม LANDSAT ดาวเทียม SPOT ดาวเทียม MOS ดาวเทียม ERS1,2 ดาวเทียมรีโมทเซ็นซิ่ง
3.ดาวเทียมสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ เช่น ดาวเทียมเอกซ์พลอเรอร์ 42
4.ดาวเทียมสื่อสารโทรคมนาคม เช่น ดาวเทียม TELSTAR ดาวเทียม PALAPA ดาวเทียม INTELSAT ดาวเทียมไทยคม
5.ดาวเทียมชีววิทยา
6.ดาวเทียมสังเกตการณ์ดวงอาทิตย์
7.ดาวเทียมทางการทหาร เช่น ดาวเทียม DMSP
8.ดาวเทียมสำรวจสมุทรศาสตร์ เช่น ดาวเทียม SEASAT ดาวเทียม MOS-1 ดาวเทียม ERS 1-2 ดาวเทียม IRS

ไซแนปส์ (Synapse)



ไซแนปส์ (Synapse)
                ไซแนปส์ หมายถึง การถ่ายทอดกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาทด้วยกัน หรือเซลล์ประสาทกับหน่วยปฏิบัติงาน
                เซลล์ประสาททำงานร่วมกันผ่านไซแนปส์ ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ชิดกันที่สุดระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ประสาทด้วยกัน โดยส่งกระแสประสาทจากแอกซอนของเซลล์หนึ่งข้ามไปยังเดนไดรต์ของอีกเซลล์หนึ่ง
 การถ่ายทอดกระแสประสารทผ่านไซแนปส์ของเซลล์ประสาทเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่งนั้นอาจเป็นรูปสารเคมี เรียกว่า ไซแนปส์เคมี () หรือการถ่ายทอดในรูปของกระแสไฟฟ้า เรียกว่า ไซแนปส์ไฟฟ้า () ซึ่งจะพบว่าถ้าบริเวณไซแนปส์มีระยะแคบมากประมาณ 2 นาโนเมตร จะถ่ายทอดกระแสประสาทในรูปกระแสไฟฟ้าผ่านได้ แต้ไซแนปส์เคมี จะพบว่าบริเวณไซแนปส์มีระยะห่างประมาณ 15-50 นาโนเมตรจึงถ่ายทอดกระแสประสาทในรูปสารเคมีผ่านไซแนปส์ดังกล่าว

มุมแนะนำ