มุมแนะนำ

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer Network)

     เครือข่ายประเภทนี้จะไม่มีเครื่องเซิร์ฟเวอร์และไม่มีการแบ่งชั้นความสำคัญของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อม ต่อเข้ากับเครือข่าย คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะมีสิทธิเท่าเทียมกันในการจัดการใช้เครือข่าย ซึ่งเรียกว่า เพียร์ (Peer) นั่นเอง คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะทำหน้าที่เป็นทั้งไคลเอนท์และเซิร์ฟเวอร์แล้วแต่การใช้งานของผู้ใช้ เครือข่ายประ๓ทนี้ ไม่จำเป็นต้องมีผู้ดูแลและจัดการระบบ หน้าที่นี้จะกระจายไปยังผู้ใช้แต่ละคน เนื่องจาก ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะเป็นคนกำหนดว่าข้อมูลหรือทรัพยากรใดบ้างของเครื่องนั้นที่ต้องการแชร์กับ ผู้ใช้คนอื่นๆ
     การใช้งานแบบเพียร์ทูเพียร์ บางทีก็เรียกว่า "เวิร์คกรุ๊ป (Workgroup)" หรือกลุ่มของคนที่ทำงาน ร่วมกันเป็นทีม ซึ่งส่วนมากจะมีจำนวนน้อยกว่าสิบคน เครือข่ายประ๓ทนี้จะเป็นแบบง่ายๆ ไม่ซับช้อนมาก เนื่องจากคอมทิวเตอร์ทุกเครื่องทำหน้าที่เป็นทั้งไคลเอนท์และเซิร์ฟเวอร์ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นที่ต้องมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ที่มีประสิทธิภาพสูงซึ่งมีราคาแพงมาก ดังนั้นราคารวมของเครือข่ายจึงถูกกว่าเครือข่ายแบบไคลเอนทํเซิร์ฟเวอร์ เพราะต้องมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่มีราคาแพงทำหน้าที่จัดการเครือข่าย
     ระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นซอฟต์แวร์ที่มีฟังก์ชันและระบบ รักษาความปลอดภัยเท่ากับระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ เซ่น ระบบปฏิบติการที่ใซในคอมพิวเตอร์ ที่อยู่ในเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์อาจจะใช้แค่วินโดวล์95/98/Me ในขณะที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์อาจต้องใช้วินโดวส์ เซิร์ฟเวอร์ 2000/2003 ซึ่งราคาของระบบปฏิบัติการนี้จะแพงกว่ากันมาก
  • เครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์นี้เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมดังต่อไปนี
  • มีผู้ใช้เครือข่าย 10 คน หรือน้อยกว่า
  • มีทรัพยากรเครือข่ายที่ต้องแซร์กันไม่มากนัก เซ่น ไฟล์ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น ซึ่งยังไม่จำเป็นต้อง มีเครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ทำหน้าที่ทางด้านนี้โดยเฉพาะ
  • ยังไม่มีความจำเป็นในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
  • การขยายตัวของเครือข่ายไม่มากนักในอนาคตอันใกล้
    เมื่อสถานการณ์เป็นดังที่ว่านี้ ก็ควรที่จะสร้างเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ เนื่องจากเหมาะลมกว่าที่ จะสร้างเครือข่ายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ามากถึงแม้ว่าเครือข่ายแบบ เพียร์ทูเพียร์นี้จะเหมาะกับเครือข่ายขององค์กรขนาดเล็ก แต่ก็ไม่เหมาะสมกับทุกๆ สภาพแวดล้อมเสมอไป สำหรับองค์กรที่มีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายใช้ ควรที่จะมีบุคลากรที่ทำหน้าที่ดูแลและจัดการระบบ ซึงจะทำ หน้าที่ดังต่อไปนี้
  • ให้การช่วยเหลือผู้ใซ้เกี่ยวกับการใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆ และการใช้เครือข่าย
  • ดูแลข้อมูลและกำหนดการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
  • สร้างการแชร์ทรัพยากรต่างๆ
  • ดูแลรักษาซอฟต์แวร์ เช่น การติดตั้งและอัพเกรดซอฟต์แวร์ต่างๆ รวมทั้งระบบปฏิบัติการ
  • บำรุงรักษาอุปกรณ์เครือข่าย และแก้ปัญหาต่างๆ ของเครือข่าย
     ในเครือข่ายหนึ่งผู้ใซ้ทุกคนสามารถกำหนดการแชร์ทรัพยากรที่มีอยู่ในเครื่องตัวเองได้ ซึ่งทรัพยากร เหล่านี้จะรวมถึงไดเร็คทอรืที่จะแชร์ในฮาร์ดดิสก์ตัวเอง เครื่องพิมพ์ แฟกซ์ เป็นต้น ในสภาพแวดล้อมทั่วๆ ไป ของเครือข่ายแบบเพิยร์ทูเพียร์นั้นผู!ช้ที่เป็นเจ้าของเครื่องจะใช้ทรัพยากรส่วนใหญ่ของคอมพิวเตอร์ตัวเองส่วน ผู้ใช้คนอื่นจะใช้ทรัพยากรบางส่วนผ่านทางเครือข่าย แต่ถ้าเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์จะใช้ทรัพยากรส่วนใหญ่เพื่อ ให้บริการกับผู้ใช้ผ่านทางเครือข่าย ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่มีคนใช้เครื่องเซิร์ฟเวอร์ นอกจากผู้ดูแลระบบทีใช้เครือง ในการจัดการต่างๆ เท่านั้น
     การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล หมายถึง การทำให้ข้อมูลปลอดจากการนำไปใช้โดยผู้ที่ไม่ได้ รับอนุญาตหรือมีสิทธี้ ส่วนวิธีการนั้นอาจมีหลายวิธี เช่น การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล หรือกำหนดรหัสลับใน การเข้าใช้ข้อมูลที่ได้แชร์ไว้ เป็นต้น ในสภาพแวดล้อมแบบเพียร์ทูเพียร์ ผู้ใช้แต่ละคนต้องกำหนดรหัสลับกับ ทุกทรัพยากรที่แชร์ไว้ ซึ่งวิธีการนี้ก็ทำให้ไม่สามารถรวมศูนย์ควบคุมเพื่อการรักษาความปลอดภัย การทำเช่น นี้อาจก่อให้เกิดช่องโหว่ เพราะผู้ใช้บางคนอาจจะไม่ได้กำหนดระดับความปลอดภัยในเครื่องตัวเองเลย ถ้าหาก ความปลอดภัยของข้อมูลมีความสำคัญ เครือข่ายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์จะเหมาะสมกว่า เพราะง่ายต่อการ รักษาความปลอดภัย
     เนื่องจากคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องในเครือข่ายประเภทนี้จะทำหน้าที่เป็นทั้งไคลเอนท์และเซิร์ฟเวอร์ ดังนั้นผู้ใช้แต่ละคนควรที่จะได้รับการแกอบรมให้เป็นได้ทั้งผู้ใช้และผู้ดูแลระบบในเวลาเดียวกันซึ่งอาจจะเป็น การยากเนื่องจากผู้ใซ้แต่ละคนอาจมีงานอื่นที่ต้องทำมาก





ประเภทของเครือข่ายแบ่งตามหน้าที่ของคอมพิวเตอร์

ประเภทของเครือข่ายยังลามารถจำแนกได้โดยใช้ลักษณะการแชร์ข้อมูลของคอมพิวเตอร์ หรือหน้าที่ของ คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องเป็นเกณฑ์ในการแบ่งประเภทของเครือข่าย ซึ่งเมื่อใช้หลักการนี้แล้วเราสามารถแบ่ง เครือข่ายออกได้เป็น 2 ประ๓ทคือ

  • เครีอข่ายแบบเท่าเทียม (Peer-to-peer Network)
  • เครือข่ายแบบผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ (Client/server Network)

หน้าที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายยังแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

  • เซอร์ฟเวอร์ (Server) คือคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการต่างๆ ให้แก,คอมพิวเตอร์เครื่องอื่น
  • ไคลเอนท์ (Client) คือคอมพิวเตอร์ที่เข้าไปใช้บริการต่างๆ ของเซิร์ฟเวอร์

        โดยปกติเมื่อมีคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องถูกเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายแล้วมักจะมีคอมพิวเตอร์เครื่อง หนึ่งที่เป็น "เซิร์ฟเวอร์" ซึ่งจะทำหน้าที่ให้บริการต่างๆ เซ่น เป็นศูนย์กลางในการจัดเก็บข้อมูล ไฟล์ หรือ โปรแกรมต่างๆ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่จัดการเกี่ยวกับทรัพยากรที่อยู่ในระบบเครือข่าย เช่น เครื่องพิมพ์ CD-ROM เป็นต้น ซึ่งการใช้ทรัพยากรเหล่านี้ร่วมกันทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในอุปกรณ์เหล่านี้ได้ ล่วน คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับเซิร์ฟเวอร์เพื่อที่จะใช้บริการดังกล่าวเรืยกว่า "ไคลเอนท์” การที่เซิร์ฟเวอร์จะให้ บริการแก่ผู้ใช้หลายๆ คนจำเป็นต้องเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพดีพอ ดังนั้นเครื่องที่เป็นเซิร์ฟเวอร์ปกติจะมีราคา แพงกว่าเครื่องไคลเอนท์ทั่วไป

        ในระบบเครือข่ายขนาดเล็กที่มีคอมพิวเตอร์จำนวนไม่กี่เครื่อง ไม่จำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ที่ทำ หน้าที่เป็นเซิร์ฟเวอร์อย่างเดียวเลมอไป การสื่อสารอาจเป็นไปในรูปแบบเพียร์ทูเพียร์ หรือคอมพิวเตอร์แต่ละ เครื่องทำหน้าที่เป็นทั้งเซิร์ฟเวอร์และไคลเอนทํในเวลาเดียวกัน คำว่า "Peer" แปลว่าเท่าเทียมกัน ดังนั้น เครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์นี้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะทำหน้าที่คล้ายกัน คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายแบบนี้ยังคง สามารถที่จะรับส่งข้อมูลถึงกันและกันได้สามารถถ่ายโอนไฟล์ไปยังฮาร์ดดิสก์ของอีกเครื่องหนึ่งได้หรือแม้แต่ ใช้เครื่องพิมพ์ร่วมกันได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเครือข่ายมีการขยายใหญ่ขึ้น การมีเครื่องเซิร์ฟเวอร์จะมีความ สะดวกต่อการจัดการระบบเครือข่าย เช่น การจัดการพื้นที่เก็บข้อมูล การควบคุมการใช้เครื่องพิมพ์ และการ อัพเกรดโปรแกรมต่างๆ เป็นต้น

        เครือข่ายทั้งสองประ๓ทคือ เครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ และเครือข่ายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์นั้นมี ข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งการเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานของเครือข่าย สิ่งที่ต้องพิจารณามีดังนี้

  • จำนวนผู้ใช้ หรือจำนวนคอมพิวเตอร์
  • การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
  • การดูแลและจัดการระบบ
  • ปริมาณข้อมูลที่รับส่งผ่านเครือข่าย
  • ความต้องการใช้ทรัพยากรเครือข่ายของผู้ใช้แต่ละคน
  • งบประมาณ

ประเภทของเครือข่ายแบ่งตามขนาดทางภูมิศาสตร์

        ถ้าใช้ขนาดทางกายภาพเป็นเกณฑ์ เครือข่ายสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประ๓ทคือ LAN หรือ เครือข่ายท้องถิ่น และ WAN หรือเครือข่ายบริเวณกว้าง LAN เป็นเครือข่ายขนาดเล็กที่ครอบคลุมพื้นที่บริเวณจำกัด เช่น ภายในห้อง หรือภายในอาคารหนึ่ง หรืออาจจะครอบคลุมหลายอาคารที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน เช่น ในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย ซึ่งบางทีก็เรียกว่า "เครือข่ายวิทยาเขต (Campus Network)" จำนวนของคอมพิวเตอร์ ที่เชื่อมต่อกันใน LAN อาจมีตั้งแต่สองเครื่องไปจนถึงหลายพ้นเครื่อง ส่วน WAN เป็นเครือข่ายที่ครอบคลุม บริเวณกว้าง เช่น ในพื้นที่เมือง หรืออาจจะครอบคลุมทั่วโลกก็ได้ เช่น เครือข่ายอินเตอร์เน็ต

        หนังสือบางเล่มจะแบ่งเครือข่ายเป็น LAN, MAN, WAN ซึ่ง MAN (Metropolitan Area Network) เป็นเครือข่ายขนาดกลางระหว่าง LAN และ WAN และครอบคลุมพื้นที่เมือง ในช่วงหลังๆ เทคโนโลยีที่ใช้ใน MAN เป็นเทคโนโลยีเดียวกับเทคโนโลยีของ WAN ดังนั้นจึงได้จัดให้ MAN เป็นเครือข่ายประ๓ทเดียวกันกับ WAN ดังนั้นถ้าหนังสือเล่มใดอธิบายเกี่ยวกับ MAN ก็จะหมายถึงเครือข่ายประ๓ท WAN ในหนังสือเล่มนี้

เครือข่ายท้ออถี่น (Local Area Network)

        LAN (Local Area Network) เป็นรากฐานของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วไป กล่าวคือ เกือบทุกๆ เครือข่ายต้องมี LAN เป็นองค์ประกอบ เครือข่ายแบบ LAN อาจเป็นได้ตั้งแต่เครือข่ายแบบง่ายๆ เช่น มี คอมพิวเตอร์สองเครื่องเชื่อมต่อกันด้วยสายลัญญาณไปจนถึงเครือข่ายที่ซับซ้อนเช่นมีคอมพิวเตอร์เป็นร้อยๆ เครื่องและมีอุปกรณ์เครือข่ายอื่นๆ อีกมากแต่ลักษณะสำคัญของ LAN ก็คือเครือข่ายจะครอบคลุมพื้นที่จำกัด รูปที่ 1.13 แสดงเครือข่ายท้องถิ่นที่ประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์สี่เครื่อง และมีเครื่องพิมพ์ที่แชร์กันใช้ เครื่อง เซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ในการจัดการเครือข่าย ซึ่งเครือข่ายจะรวมกันอยู่ในห้องปฏิบัติการ

        เทคโนโลยี LAN มีหลายประ๓ท เช่น Ethernet, ATM, Token Ring, FDDI เป็นต้น แต่ที่นิยมกัน มากที่สุดในปัจจุบันคือ อีเธอร์เน็ต (Ethernet) ซึ่งในอีเธอร์เน็ตเองยังจำแนกออกได้หลายประ๓ทย่อย ขึ้น อยู่กับความเร็ว โทโปโลยี (Topology) และสายสัญญาณที่ใช้ เทคโนโลยี LAN แต่ละประเภทมีทั้งข้อดีข้อเสีย ที่แตกต่างกัน การเลือกใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ควรให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานเครือข่ายขององค์กร ซึ่งจะได้ อธิบายข้อดีข้อเสียของแต่ละประ๓ทต่อไป

อเธอร์เน็ต (Ethernet)

        อเธอร์เน็ต (Ethernet) ได้ถูกคิดค้นขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และยังคงเป็นเทคโนโลยีชั้นนำของ เครือข่ายท้องถิ่น อีเธอร์เน็ตตั้งอยู่บใ4มาตรฐานการส่งข้อมูลหรือโปรโตคอล CSMA/CD (Carrier Sense Multiple Access with Collision Detection) โปรโตคอลนี้ถูกใช้สำหรับการเข้าใช้สื่อกลางในการส่งสัญญาณที่แชร์กัน ระหว่างสถานีหรือโหนดต่างๆ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ เมื่อโหนดใดๆ ต้องการที่จะส่งข้อมูลจะต้องคอยฟังก่อน (Carrier Sense) ว่ามีโหนดอื่นกำลังส่งข้อมูลอยู่หรือไม ถ้ามีให้รอจนกว่าเครื่องนั้นส่งข้อมูลเสร็จก่อน แล้วค่อย เรื่มส่งข้อมูล และในขณะที่กำลังส่งข้อมูลอยู่นั้นต้องตรวจสอบว่ามีการซนกันของข้อมูลเกิดขึ้นหรือไม่ (Collision Detection) ถ้ามีการชนกันของข้อมูลเกิดขึ้นให้หยุดทำการส่งข้อมูลทันที แล้วค่อยเริ่มกระบวนการ ส่งข้อมูลใหม่อีกครั้ง เนื่องจากอีเธอร์เน็ตจะใช้สื่อกลางร่วมกัน ซึ่งเรียกว่า "บัส (Bus)" ฉะนั้นจึงมีโหนดที่ส่ง ข้อมูลได้แค่โหนดเดียวในขณะใดขณะหนึ่ง การซนกันของข้อมูลเกิดขึ้นเนื่องจากมีมากกว่าหนึ่งโหนดที่ทำการ ส่งข้อมูลไปบนสื่อกลางในเวลาเดียวกัน ผลที่'ได้คือ ข้อมูลจะกลายเป็นขยะหรืออ่านไม่ได้ทันที เมื่อมีจำนวน โหนดเพิ่มมากขึ้นความน่าจะเป็นที่ข้อมูลจะซนกันก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ

        ตามมาตรฐานแล้วอีเธอร์เน็ตจะมีอัตราการส่งข้อมูลหรือแบนดํวิธที่ 10 Mbps (สิบล้านบิตต่อวินาที) ในขณะที่ฟาสต่อีเธอร์เน็ต (Fast Ethernet) มีการทำงานคล้ายๆ กัน เพียงแต่มีอัตราข้อมูลที่สูงกว่า 10 เท่า หรือ 100 Mbps ส่วนกิกะบิตอีเธอร์เน็ต (Gigabit Ethernet) มีอัตราข้อมูลสูงสุดคือ 1,000 Mbps หรือ 1 Gbps และในขณะที่กำลังเขียนหนังสือเล่มนี้กำลังมีการพัฒนาอีเธอร์เน็ตที่ความเร็ว 10 Gbps ซึ่งเรืยกว่า เทน กิกะบิตอีเธอร์เน็ต (10G Ethernet)

        นอกจากข้อแตกต่างในเรื่องของความเร็วแล้ว อีเธอร์เน็ตยังแบ่งย่อยออกเป็นแชร์อีเธอร์เน็ต (Shared Ethernet) และสวิตช์อีเธอร์เน็ต (Switched Ethernet) โดยแชร์อีเธอร์เน็ตมีการใช้ตัวกลางร่วมกันคล้ายๆ กับถนน ที่มีเลนเดียว ดังนั้นจึงมีรถวิ่งบนถนนได้แค่คันเดียวในขณะใดขณะหนึ่ง ในความหมายเครือข่ายก็คือ ในขณะใด ขณะหนึ่งจะมีแค่สถานีเดียวที่สามารถส่งข้อมูลได้ อุปกรณ์เครือข่ายที่ใช้สำหรับแชร์อีเธอร์เน็ตคือ อับ (Hub) ส่วน สวิตช์อีเธอร์เน็ต (Switched Ethernet) จะเปรียบได้กับถนนที่มีหลายเลน ดังนั้นจึงมีรถหลายคันที่สามารถวิ่งบน ถนนได้ในเวลาเดียวกัน ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้*'เนสวิตช์อีเธอร์เน็ตก็คงจะเป็นสวิตช์นั่นเอง

โทเคนริง (Token Ring)

        เครือข่ายแบบโทเคนริง (Token Ring) ซึ่งจะมีลักษณะการเชื่อมต่อแบบวงแหวนนี้ ถือได้ว่าเป็น เครือข่ายที่กำลังล้าสมัยเพราะมีการใช้น้อยลง โทเคนริงนิยมมากในการสร้างเครือข่ายสมัยแรกๆ เนื่องจาก ข้อดีของการส่งข้อมูลในเครือข่ายแบบนี้จะไม่มีการชนกันของข้อมูล เหมือนกับเครือข่ายแบบอีเธอร์เน็ต แต่ข้อ เสียของเครือข่ายประ๓ทนี้จะอยู่ที่ความสามารถในการขยายเครือข่าย (Scalability) และการบริหารและจัด การเครือข่ายจะค่อนข้างยาก เครือข่ายประ๓ทนี้ยังมืใช้อยู่กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของบริษัท IBM ที่เป็นระบบ เมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์

ATM

        ATM ย่อมาจาก "Asynchronous Transfer Mode" ไม่ได้หมายถึงตู ATM (Automatic Teller Machine) ที่เราใช้ถอนเงินสดจากธนาคาร แต่บางทีตู้ ATM ที่เราใช้ถอนเงินสดอาจจะเชื่อมต่อกับศูนย์กลาง ด้วยระบบเครือข่ายแบบ ATM ก็ได้ ATM เป็นมาตรฐานการรับส่งข้อมูลที่กำหนดโดย ITU-T (International Telecommunication บทion-Telecommunication standard Sector) ชงจะรวมบริการต่างๆ เซ่น ข้อมูล เสียง วิดีโอเข้าด้วยกันแล้วส่งเป็นเซลล์ (Cell) ข้อมูลที่มีขนาดเล็กและคงที่ เป็นเครือข่ายที่รองรับแบนด็วิธตง แต่ Mbps จนถึง Gbps ปัจจุบันยังมีการใช้ ATM ไม่มากเท่ากับอีเธอร์เน็ต แต่มีแนวโน้มว่า ATM อาจจะเป็น อีกทางเลือกอีกอย่างหนึ่งที่นิยมในเครือข่ายในอนาคตก็ได้

เครือข่ายบริเวณกว้าง (Wide Area Network)

        ตรงกันข้ามกับ LAN เครือข่ายบริเวณกว้างหรือ WAN (อ่านว่า แวน) เป็นเครือข่ายที่ครอบคลุม พื้นที่บริเวณกว้าง หรืออาจจะครอบคลุมทั่วโลกก็ได้ ตัวอย่างเซ่น เครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่เรารู้จักกันดี WAN จะใช้สำหรับการเชื่อมต่อระหว่าง LAN ที่อยู่ห่างไกลกัน เซ่น การเชื่อมต่อเครือข่ายของสำนักงานย่อยที่อยู่ห่าง ไกลกัน เป็นต้น รูปที่ 1.14 เป็นรูปที่แสดงลักษณะของเครือข่ายแบบ WAN

        LAN เป็นเทคโนโลยีสำหร้บการเชื่อมต่อเครือข่ายภายในอาคาร หรือพื้นที่ที่มีรัศมีประมาณ 2-3 กิโลเมตร ส่วน WAN เป็นเครือข่ายที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อระยะไกล เซ่น เครือข่ายภายในหรือระหว่างเมือง หรือแม้ กระทั่งการเชื่อมต่อระหว่างประเทศทั่วโลก เทคโนโลยีที่จัดอยู่ในประ๓ท WAN เซ่นรีโมทแอ็กเซสล์ (Remote Access), สายคู่เช่า (Leased Line), ISDN (Integrated Service Digital Network), ADSL (Asynchronous Digital Subscribe Line), Frame Relay และระบบดาวเทียม เป็นต้น

        รีโมทแอ็กเซสเป็นเครือข่ายที่ใช้ระบบโทรศัพท์เป็นสื่อ (Dial up) ทำให้ผู้ใช้ที่อยู่ห่างไกลสามารถเชื่อม ต่อเข้ากับศูนย์กลางเครือข่ายได้ การเชื่อมต่อเครือข่ายเข้ากับระบบอินเตอร์เน็ตก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของรีโมท แอ็กเซล กล่าวคือผู้ใช้สามารถที่จะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตโดยการใช้โมเด็มหมุนไปที่ ISP (Internet Service Provider) เพื่อเชื่อมต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ตได้ ผู้ใช้'หลายๆ คนที่อยู่บนเครือข่ายท้องถิ่นสามารถต่อเข้ากับอินเตอร์เน็ต โดย ผ่านเราท์เตอร์ โดยทั่วไปเครือข่าย LAN มีอัตราการล่งข้อมูลที่สูงกว่าเครือข่าย WAN ตัวอย่างเซ่น อีเธอร์เน็ต มีอัตราการส่งข้อมูลที่ 10 Mbps ในขณะที่ความเร็วสูงสุดของโมเด็มในปัจจุบันอยู่ที่ 56 Kbps ซึ่ง น้อยกว่าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของแบนดํวิธของอีเธอร์เน็ต แม้กระทั่งการเชื่อมต่อแบบ T-1 ยังมีอัตราข้อมูลแค่ 1.5 Mbps อย่างไรก็ตามโดยธรรมซาติของการสื่อสารข้อมูลล่วนใหญ่จะอยู่ภายในเครือข่ายท้องถิ่น

มุมแนะนำ