มุมแนะนำ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิทยาศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิทยาศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สรุปฟังก์ชั่นของสารประกอบอินทรีย์

สรุปฟังก์ชั่นเคมีอินทรีย์
ไฟล์รูป ; http://www.mediafire.com/?wk3qwqbjb3izfbt

สรุปไฮโดรคาร์บอนมั่วๆ

สรุปมั่วๆ
สมบัติของไฮโรคาร์บอน
1.จุดเดือดจุดหลอมเหลวต่ำ(จุดเดือดแปรผันตามมวลโมเลกุล) เพราะ เป็นแรงลอนดอน(ไม่มีขั้ว)
2.ไม่ละลายน้ำ เพราะ ไม่มีขั้ว
3.การเผาไหม้ : (เขม่า:แอลแคน<แอลคีน<แอลไคน์) หากเป็นโซ่เปิดเขม่าน้อยกว่าโซ่ปิด
4.เรียงลำดับความสามารถในการเกิดปฏิกิริยา(อัตราการเกิด) แอลไคน์(เพราะมีพันธะสาม)>แอลคีน>แอลเคน>อโรมาติก(เพราะเป็นเรโซเนนซ์)

sigma bond:พันธะเดี่ยว แข็งแรงมากต้องสลายให้เป็น pi bond ก่อนจึงจะไปเกิดปฏิกิริยา
pi bond: พันธะสองหรือพันธะสาม เกิดพันธะได้งาย

วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แบบจำลองอะตอมของโบร์

แบบจำลองอะตอมของโบร์
แบบจำลองตะตอมของโบร์
ผลการทดลอง
         1.   เมื่อเผาสารประกอบของโลหะชนิดเดียวกันจะเห็นสีของเปลวไฟหรือเส้นสเปกตัมสีเดียวกัน
         2.   เส้นสเปกตัมเกิดจากส่วนที่เป็นโลหะในสารประกอบชนิดนั้นๆ
         3.   ธาตุแต่ละชนิดมีเส้นสเปกตัมเป็นลักษณะเฉพาะตัวไม่ซ้ำกัน
สเปกตัม หมายถึง แถบสีหรือเส้นสีที่ได้จากการผ่านพลังงานแสงเข้าไปในสเปกโตรสโคป แล้วทำให้พลังงานแสงแยกออกเป็นแถบสีที่เรียงกันตามความยาวคลื่น
      แบบจำลองอะตอมพัฒนาแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดทำให้โบร์ค้นพบว่า “อิเล็กตรอนจะเรียงตัวออกเป็นชั้นๆ ตามระดับชั้นพลังงาน” โดยจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
1.   อิเล็กตรอนจะอยู่เป็นชั้นๆ แต่ละชั้นเรียกว่า “ระดับพลังงาน”
2.   แต่ละระดับพลังงานจะบบจุอิเล็กตรอนได้ 2n2 (แต่ใช้ได้ถึงชั้นที่ n=4 เท่านั้น)
3.   อิเล็กตรอนชั้นนอกสุดจะเรียกว่า “วาเลนซ์อิเล็กตรอน” ซึ่งเป็นอิเล็กตรอนที่จะเกิดปฏิกิริยาต่างๆ ได้
4.   อิเล็กตรอนวงในจะเสถียรมากกว่าวงนอกเพราะอยู่ใกล้นิวเคลียส (เพราะมีแรงดึงดูดจากโปรตอนในนิวเคลียส)
5.   ระดับพลังงานวงในจะห่างกันมากแต่วงนอกจะอยู่ชิดกันมาก
6.   การเปลี่ยนระดับชั้นพลังงานของอิเล็กตรอนไม่จำเป็นต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงเฉพาะชั้นที่อยู่ติดกัน อาจข้ามชั้นได้

แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด

แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด
            ในปี พ.ศ. 2453 (ค.ศ.1910) เซอร์ เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Sir Ernest Rutherford) ได้ศึกษาแบบจำลองของทอมสัน และเกิดความสงสัยว่าอะตอมจะมีโครงสร้างตามแบบจำลองอะตอมของทอมสันหรือไม่ โดยตั้งสมมติฐานว่า “ถ้าอะตอมมีโครงสร้างตามแบบจำลองของทอมสันจริง ดังนั้นเมื่อยิงอนุภาคแอลฟาซึ่งมีประจุไฟฟ้าเป็นบวกเข้าไปในอะตอม แอลฟาทุกอนุภาคจะทะลุผ่านเป็นเส้นตรงทั้งหมดเนื่องจากอะตอมมีความหนาแน่นสม่ำเสมอเหมือนกันหมดทั้งอะตอม” เพื่อพิสูจน์สมมติฐานนี้ รัทเทอร์ฟอร์ดได้ทำการยิงอนุภาคแอลฟาไปยังแผ่นทองคำบางๆ โดยมีความหนาไม่เกิน 10-14 cm โดยมีฉากเรืองแสงรองรับ ปรากฏผลการทดลองดังนี้
           1.   อนุภาคส่วนมากเคลื่อนที่ทะลุแผ่นทองคำเป็นเส้นตรง
           2.   อนุภาคส่วนน้อยเบี่ยงเบนไปจากเส้นตรง
            3.อนุภาคส่วนน้อยมากสะท้อนกลับมาด้านหน้าของแผ่นทองคำ

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ทฤษฎีการชน (Collision Theory)



ทฤษฎีการชน  (Collision Theory)
11.)      กล่าวว่า ; สารตั้งต้นจะเกิดปฏิกิริยาได้ก็ต่อเมื่อโมเลกุลมีการชนกันในทิศทางที่เหมาะสมและเมื่อชนกันแล้วมีการถ่ายโอนพลังงานระหว่างกันมากพอที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยานั้นๆ  (โดยพลังงานอย่างน้อยที่โมเลกุลต้องการในการเกิดปฏิกิริยาเรียกว่า Ea
22.)     สรุปทฤษฎีการเกิดปฏิกิริยา ;    1. อนุภาคสารตั้งต้นชนกันในทิศทางเหมาะสม
                                                      2. เมื่อชนกันแล้วมีการถ่ายโอนพลังงานมากพอ
                                                      3. การชนกันของโมเลกุลเป็นการชนแบบยืดหยุ่นสัมบูรณ์ (ไม่สูญเสียพลังงาน)
33.)     พลังงานก่อกัมมันต์ ; เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพลังงานกระตุ้น (Activation Energy ; Ea)
·        หมายถึง ; พลังงานจำนวนน้อยที่สุดที่โมเลกุลสารตั้งต้นต้องมี (ได้มาจากการชนกันแล้วถ่ายโอนระหว่างกันหรือจากพลังงานภายนอก) เพื่อใช้ในการเกิดปฏิกิริยา
·        หน่วย ; kJ/mol , kcal/mol  (1cal = 4.2J)
·        สรุปสาระสำคัญ ;  1.แต่ละปฏิกิริยาเคมีพลังงานก่อกัมมันต์ต่างกัน
                                                      2. ปฏิกิริยาเคมีที่พลังงานก่อกัมมันต์ต่ำ จะเกิดง่ายกว่าปฏิกิริยาที่พลังงานก่อกัมมันต์สูง
                                3. ปฏิกิริยาที่พลังงานก่อกัมมันต์ต่ำอัตราเร็วของปฏิกิริยาอาจจะสูงหรือต่ำก็ได้
                                4.พลังงานก่อกัมมันต์และอัตราเร็วของปฏิกิริยาไม่มีความสัมพันธ์กัน
                                5.พลังงานก่อกัมมันต์ ไม่เกี่ยวข้องกับพลังงานรวมของปฏิกิริยา (Total Energy , Enthalpy)
44.)     Heat Energy ; ใช้สัญลกษณ์ย่อคือ ΔH
·        หมายถึง ; พลังงานความร้อนของปฏิกิริยาเคมี หาได้จาก ความแตกต่างระหว่างระดับพลังงานศักย์ของสารผลิตภัณฑ์กับระดับพลังงานศักย์ของสารตั้งต้น
·        หน่วย ; kJ/mol , kcal/mol  (1cal = 4.2J) (เหมือนค่า Ea)
·        สรุปสาระสำคัญ ;       1.ค่า ΔH ไม่มีความสัมพันธ์กับค่า Ea
                                     2.ค่า ΔH สามารถบอกได้ว่าเป็นปฏิกิริยาดูดหรือคายความร้อน
                                           ΔH > 0 เป็นระบบดูดความร้อน
                                           ΔH < 0 เป็นระบบคายความร้อน
       

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สารและสมบัติของสาร

สารและสมบัติของสาร

พอลิเมอร์
คือ สารที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของสารขนาดเล็ก (มอนอเมอร์) จำนวนมาก
3.1 พลาสติก แบ่งเป็น
เทอร์มอพลาสติก มีโครงสร้างแบบโซ่ตรงหรือโซ่กิ่ง ยืดหยุ่น และโค้งงอได้ เมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัว สามารถเปลี่ยนรูปร่างกลับไปมาได้ เพราะสมบัติไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เทอร์มอเซต มีโครงสร้างแบบตาข่าย มีความแข็งแรงมาก เมื่อได้รับความร้อนจะไม่อ่อนตัว แต่จะเกิดการแตกหัก ไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ เพราะสมบัติมีการเปลี่ยนแปลง
3.2 ยาง แบ่งเป็น
ยางธรรมชาติ เกิดจากมอนอเมอร์ คือ ไอโซพรีน รวมตัวกันเป็นพอลิไอโซพรีน ดังนี้
มีความยืดหยุ่น ทนต่อแรงดึงทนต่อการขัดถู ทนนํ้า นํ้ามันพืชและสัตว์ แต่ไม่ทนนํ้ามันเบนซินและตัวทำละลายอินทรีย์ เมื่อได้รับความเย็นจะแข็งและเปราะ แต่เมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัวและเหนียว
ยางสังเคราะห์ (ยางเทียม) เช่น
: ยาง IR (Isoprene Rubber) มีโครงสร้างเหมือนยางธรรมชาติ มีสิ่งเจือปนน้อย คุณภาพสมํ่าเสมอ
: ยาง SBR (Styrene - Butadiene Rubber) ทนต่อการขัดถูแต่ไม่ทนต่อแรงดึง ใช้ทำพื้นรองเท้า สายยาง
ปิโตรเลียม
เกิดจาก ซากพืชซากสัตว์ที่ตายทับถม แล้วถูกย่อยสลาย เกิดเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
2.1 นํ้ามันปิโตรเลียม ประเทศไทยพบครั้งแรกที่ .ฝาง .เชียงใหม่ และต่อมาพบที่ .ลานกระบือ .กำแพงเพชร
การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม เรียกว่า การกลั่นลำดับส่วน โดยใช้ความร้อน 350-400 oC จะได้ผลิตภัณฑ์ เรียงตามลำดับจากจุดเดือดตํ่าไปสูง ดังนี้
มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน เบนซิน ก๊าด ดีเซล หล่อลื่น เตา ไข ยางมะตอย
2.2 ก๊าซธรรมชาติ ประเทศไทยพบบริเวณอ่าวไทยและมีมากในเชิงพาณิชย์ และพบที่ .นํ้าพอง .ขอนแก่น
ส่วนใหญ่เป็นก๊าซมีเทน ร้อยละ 80-95
ปฏิกิริยาการเผาไหม้ คือ ปฏิกิริยาระหว่างสารไฮโดรคาร์บอนกับก๊าซออกซิเจน แบ่งเป็น
- การเผาไหม้ที่สมบูรณ์ เกิดเมื่อมีก๊าซ O2 มากเพียงพอ จะได้ CO2 และ H2O ซึ่งจะไม่มีเถ้าถ่าน และเขม่า
- การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ เกิดเมื่อมีก๊าซ O2 น้อย จะได้ CO ซึ่งจะไปจับกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ทำให้ร่างกายเกิดการขาดออกซิเจน อาจเกิดอาการหน้ามืด เป็นลมหรือเสียชีวิตได้
2.3 เชื้อเพลิงในชีวิตประจำวัน
- ก๊าซมีเทน (CH4) ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ใช้ในรถปรับอากาศเครื่องยนต์ยูโร-2
- ก๊าซหุงต้ม ประกอบด้วย ก๊าซโพรเพน (C3H8) และก๊าซบิวเทน (C4H10) ที่ถูกอัดด้วยความดันสูง จนมีสถานะเป็นของเหลวเรียกว่า LPG (Liquid Petroleum Gas)
เลขออกเทน เป็นตัวเลขบอกคุณภาพของนํ้ามันเบนซิน โดยกำหนดให้
ไอโซออกเทน มีประสิทธิภาพการเผาไหม้ดี ทำให้เครื่องยนต์เดินเรียบ มีเลขออกเทน 100
นอร์มอลเฮปเทน มีประสิทธิภาพการเผาไหม้ไม่ดี ทำให้เครื่องยนต์กระตุก มีเลขออกเทน 0
- นํ้ามันดีเซล บอกคุณภาพโดยใช้เลขซีเทน
ปฏิกิริยาเคมี
เกิดจาก สารเริ่มต้น เข้าทำปฏิกิริยากัน แล้วทำให้เกิดสารใหม่ เรียกว่า ผลิตภัณฑ์
4.1 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
- ปฏิกิริยาการเผาไหม้ของถ่านหิน จะมีกำมะถัน (S) เมื่อเผาไหม้กำมะถันจะทำปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจนทำให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์และเมื่อทำปฏิกิริยากับนํ้าฝน ทำให้เกิดกรดกำมะถัน/กรดซัลฟิวริก (ฝนกรด)
- การเผาไหม้เชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ จะเกิดก๊าซ NO2 กลายเป็นฝนกรดไนตริกได้
- ปฏิกิริยาการเกิดสนิมเหล็ก (Fe2O3) เกิดจาก ปฏิกิริยาระหว่างเหล็กกับก๊าซออกซิเจน
- ปฏิกิริยาการสลายตัวของโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต (ผงฟู) ด้วยความร้อนจะได้ก๊าซ CO2 และ H2O
- สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เมื่อได้รับแสงและความร้อน จะสลายตัว ดังนั้น จึงต้องเก็บไว้ในที่มืด
- ปฏิกิริยาการสลายตัวของหินปูน (CaCO3) ด้วยความร้อน ได้ปูนขาว (CaO) ใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์
- ปฏิกิริยาระหว่างหินปูนกับกรดไนตริก / กรดซัลฟิวริก ทำให้สิ่งก่อสร้างสึกและเกิดหินงอกหินย้อย

สารชีวโมเลกุล
คือ สารที่มี C และธาตุ H เป็นองค์ประกอบ มีขนาดใหญ่และพบในสิ่งมีชีวิตเท่านั้น มี 4 ประเภท ได้แก่
1. ไขมัน และนํ้ามัน ประกอบด้วยธาตุ C H O มีหน้าที่ดังนี้
ป้องกันการสูญเสียนํ้า ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ป้องกันการสูญเสียความร้อน ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่น ช่วยให้ผมและเล็บมีสุขภาพดี ช่วยละลายวิตามิน A D E K (ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี )
ไขมัน เป็นสารไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเกิดจากกรดไขมัน 3 โมเลกุล กับ กลีเซอรอล 1 โมเลกุล
กรดไขมันไม่อิ่มตัว + ก๊าซออกซิเจน ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นหืน
แสดงว่า นํ้ามันพืช จะเกิดกลิ่นเหม็นหืนได้ง่าย แต่ในธรรมชาติจะมีวิตามินE ซึ่งเป็นสารต้านหืน
การผลิตสบู่ จากปฏิกิริยาสะปอนนิฟิเคชัน ได้จาก การต้มไขมันกับเบส (โซเดียมไฮดรอกไซด์ / NaOH)
2. โปรตีน ( C H O N ) มีหน้าที่ ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ช่วยรักษาสมดุลนํ้าและกรด-เบส เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ ฮอร์โมน เลือด และภูมิคุ้มกัน (1 กรัม ให้พลังงาน 4 KCal)
หน่วยย่อย คือ กรดอะมิโน มีทั้งหมด 20 ชนิด แบ่งเป็น
กรดอะมิโนที่จำเป็น มี 8 ชนิด ซึ่งร่างกายสร้างไม่ได้ ต้องกินจากอาหารเข้าไป
กรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น มี 12 ชนิด ซึ่งร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง
การแปลงสภาพโปรตีน คือ การที่ทำให้โครงสร้างของโปรตีนถูกทำลาย เช่น แข็งตัวเมื่อได้รับความร้อน เมื่อได้รับสารละลายกรด-เบส เมื่อได้รับไอออนของโลหะหนัก
คุณค่าทางชีววิทยา หมายถึง คุณภาพของโปรตีนที่นำมาสร้างเป็นเนื้อเยื่อได้(ไข่ 100%)
3. คาร์โบไฮเดรต ( C H O ) มีหน้าที่ดังนี้
- เป็นแหล่งพลังงานหลักของคน (1 กรัมให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี) แบ่ง 3 ประเภท ดังนี้
3.1 มอโนแซ็กคาไรด์ ( นํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว ) แบ่งเป็น
นํ้าตาลที่มีสูตรเป็น C5H10O5 เรียกว่า ไรโบส
นํ้าตาลที่มีสูตรเป็น C6H12O6 เช่น กลูโคส ฟรุกโตส ( ฟรักโตส ) กาแลกโทส
3.2 ไดแซ็กคาไรด์ ( นํ้าตาลโมเลกุลคู่ )
กลูโคส + กลูโคส = มอลโทส พบในข้าว เมล็ดพืช ใช้ในการทำเบียร์ อาหารทารก
กลูโคส + ฟรุกโตส = ซูโครส หรือ นํ้าตาลทราย พบมากในอ้อย
กลูโคส + กาแลกโทส = แลกโทส พบมากในนํ้านม
3.3 พอลิแซ็กคาไรด์ (นํ้าตาลโมเลกุลใหญ่ )
แป้ง เกิดจากกลูโคสหลายพันโมเลกุลมาต่อกัน แบบสายยาวและแบบกิ่ง พบมากในพืช
- ร่างกายคนย่อยสลายได้ด้วยเอนไซม์ที่มีในนํ้าลาย (อะไมเลส)
เซลลูโลส เกิดจากกลูโคสประมาณ 50,000 โมเลกุล ต่อกันแบบสายยาว เป็นเส้นใยพืช
- ร่างกายคนย่อยสลายไม่ได้ ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหว ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม
ไกลโคเจน เกิดจากกลูโคสเป็นแสนถึงล้านโมเลกุลมาต่อกันแบบกิ่ง พบในคนและสัตว์ ที่ตับและกล้ามเนื้อ เป็นแหล่งพลังงานสำรอง โดยจะสลายกลับคืนเป็นกลูโคส เมื่อร่างกายขาดแคลนพลังงาน
4. กรดนิวคลีอิก ( C H O N P ) มีหน่วยย่อย เรียกว่า นิวคลีโอไทด์
DNA ประกอบด้วย นิวคลีโอไทด์ มาเชื่อมต่อกันเกิดเป็นสายยาว 2 สายพัน กันเป็นเกลียว โดยเกาะกันด้วยคู่ไนโตรเจนเบสที่เฉพาะเจาะจง คือ อะดีนีน (A) กับ ไทมีน (T) กวานีน (G) กับ ไซโตซีน (C)

ธาตุและสารประกอบ
พันธะเคมี คือ แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมของธาตุ โดยแบ่งเป็น
- พันธะไอออนิก : เกิดจากโลหะกับอโลหะ เช่น NaCl CaO
- พันธะโควาเลนซ์ : เกิดจากอโลหะกับอโลหะ เช่น H2 Cl2 CO2 CH4 ธาตุหมู่ 1A และ 2A เป็นโลหะ เป็นของแข็ง จุดเดือด / จุดหลอมเหลวสูง นำไฟฟ้าได้
ธาตุหมู่ 1A มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเป็น 1 จึงหลุดออกง่าย ทำให้มีประจุ +1 เช่น Na+ มีความว่องไวต่อปฏิกิริยาสูงมาก ลุกไหม้ได้อย่างรวดเร็ว เกิดปฏิกิริยากับนํ้ารุนแรง
ธาตุหมู่ 2A มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเป็น 2 จึงสูญเสียได้ง่าย ทำให้มีประจุ +2 เช่น Mg2+
ธาตุหมู่ 7A (Halogen) เป็นอโลหะ อยู่เป็นโมเลกุลมี 2 อะตอม เช่น F2 Cl2 Br2 I2 At2
มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเป็น 7 จึงสามารถรับอิเล็กตรอนได้อีก 1 กลายเป็นไอออนประจุ -1
มีความว่องไวต่อปฏิกิริยาเคมีมาก
ธาตุหมู่ 8A เป็นอโลหะ มีสถานะเป็นก๊าซ อยู่เป็นอะตอมอิสระ : He Ne Ar Kr Xe Rn
มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเป็น 8 จึงมีความเสถียรมาก ไม่ว่องไวต่อปฏิกิริยาเคมี จึงเรียกว่า ก๊าซเฉื่อย
โลหะแทรนซิชัน เป็นโลหะ มีสมบัติกายภาพเหมือนโลหะหมู่ 1A / 2A แต่สมบัติเคมีแตกต่างกัน
ธาตุกึ่งโลหะ คือ ธาตุที่มีสมบัติบางประการคล้ายโลหะและบางประการคล้ายอโลหะ เช่น
อะลูมิเนียม (Al) มีความหนาแน่นตํ่า จึงแข็งแรงแต่นํ้าหนักเบา นำไฟฟ้า/ความร้อนดี เช่น
บอกไซด์ :ใช้ทำโลหะอะลูมิเนียม อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องครัว ห่ออาหาร
คอรันดัม หรือ อะลูมิเนียมออกไซด์ : ทำอัญมณีที่มีสีตามชนิดของโลหะแทรนซิชัน
สารส้ม (Al(SO4)2 . 12H2O) : ใช้ในการทำนํ้าประปาหรือกวนนํ้าให้ตกตะกอน
ซิลิกอน (Si) - อะตอมยึดต่อกันด้วยพันธะโคเวเลนซ์ ในรูปโครงผลึกร่างตาข่าย เป็นสารกึ่งตัวนำ ใช้ทำแผงวงจรไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า
ธาตุกัมมันตรังสี คือ ไอโซโทปของธาตุที่มีนิวตรอนต่างจากโปรตอนมากๆ ทำให้ไม่เสถียร จึงสลายตัว โดยปลดปล่อยรังสีออกมา ซึ่งตรวจหาและวัดรังสี โดยใช้ไกเกอร์มูลเลอร์เคาน์เตอร์

มุมแนะนำ