มุมแนะนำ

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

สัณฐานของโลก


สัณฐานของโลก
                โลกมีรูปทรงเกือบเป็นทรงกลม คือ วัดเส้นผ่านศูนย์กลางของโลกจากขั้วเหนือไปยังขั้วใต้ได้ยาว 12,714 กิโลเมตร แต่ถ้าวัดเส้นผ่านศูนย์กลางที่แนวศูนย์สูตรได้ยาว 12,757 กิโลเมตร แสดงว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของโลกบริเวณศูนย์กลางประมาณ 43 กิโลเมตร แสดงวารูปทางของโลกบริเวณขั้วโลกแบนไปเล็กน้อย และป่องตรงศูนย์สูตรเล็กน้อย โดยโลกมีขนาดใกล้เคียงกับดาวศุกร์

โครงสร้างของโลก
                1.แก่นโลก (Core) เป็นจุดกึ่งกลางโลก ซึ่งเป็นส่วนในสุดของโลก แบ่งออกเป็น 2 ชั้น
1.1แก่นโลกส่วนใน (inner core) มีลักษณะเป็นทรงกลม มีความหนาประมาณ  1,255 กิโลเมตร เนื่องจากมีแรงกดมาก จึงสันนิษฐานว่าเป็นของแข็ง ประกอบด้วยธาตุโลหะผสมระหว่างเหล็กกับนิกเกิลเป็นส่วนใหญ่
1.2แก่นโลกส่วนนอก (Outer core) สันนิษฐานว่าเป็นของเหลว มีความหนาประมาณ 2,200กิโลเมตร ประกอบด้วยโลหะหลอมเหลวจำพวกเหล็ก เป็นชั้นที่ได้รับแรงกดดันมาก มีอุณหภูมิสูงถึง 2,200-2,750 ̊C แก่นโลกส่วนนี้มีการหมุนอยู่ตลอดเวลา สามารถดันชั้นเปลือกโลกให้เคลื่อนที่ออกมาถึงชั้นเปลือกโลกได้ เช่น กรณีการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ เป็นต้น
                2.เนื้อโลก (Mantle) มีความหนาประมาณ 2,895 กิโลเมตร ประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่มีลักษณะยืดหยุ่น ได้แก่ เหล็กและนิกเกิล
                ชั้นเนื้อโลกหรือแมนเทิล มีสภาวะของความไม่เสถียร คือ มีการเคลื่อนไหว การเลื่อนไหลของหินหนืดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดพลังงานปริมาณมหาศาลที่ส่งผลต่อมาถึงเปลือกโลกซึ่งมีตวามบอบบางเมื่อเทียบกับขนากของโลก และโดยปกติเปลือกโลกจะสามารภต้านทานพลังงานดังกล่าวได้ แต่บางครั้งที่มีพลังงานมากเกินกว่าที่โลกจะต้านทานได้ จึงทำให้ต้องปรับดุลยภาพ ทำให้เปิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ ทวีปเลื่อนตามบริเวณแนวรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก
                3.เปลือกโลก (Cruse) เป็นส่วนที่แข็งด้านนอกสุด มีความหนาประมาณ 8-40 กิโลเมตร ประกอบด้วยหินและแร่ต่างๆ ประกอบด้วยแผ่นดิน 1ส่วน และผืนน้ำ 3ส่วน โดยมีความหนาในส่นของผืนน้ำประมาณ 8-16 กิโลเมตร และผืนในส่วนแผ่นดินประมาณ 16-40 กิโลเมตร


พันธะไอออนิก


พันธะไอออนิก
1).ธาตุคู่พันธะ: เกิดจาการเข้าทำพันธะของธาตุโลหะ และธาตุอโลหะ (โลหะ+อโลหะ)
2).สารประกอบที่ได้: เรียกว่าสารประกอบ “ไอออนิก”
3).การใช้งานอิเล็กตรอน: เกิดอะตอมของธาตุอโลหะพยายามจะทำให้ตัวเองมีอิเล็กตรอนครบแปดโดยการปลดอิเล็กตรอน และอะตอมของธาตุอโลหะพยายามทำให้อิเล็กตรอนวานอกสุดครบแปดโดยการรับเอาอิเล็กตรอนที่ธาตุโลหะไม่ต้องการมาใช้ จึงดูเหมือนกับธาตุโลหะให้อิเล็กตรอน และธาตุอโลหะรับอิเล็กตรอน เกิดเป็นไอออนบวกและไอออนลบตามลำดับ จึงดึงดูดกันด้วยแรงทางไฟฟ้าอย่างเหนียวแน่น
4).สูตรสารประกอบ: สารประกอบไอออนิกเกิดจาการไอออนบวกกับไอออนลบดึงดูดกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นจึงหาขอบเขตของสารประกอบไม่ได้ จึงไม่มีสูตรสารประกอบ มีแต่สูตรอย่างง่าย(Empirical Formula) ที่แสดงสัดส่วนการรวมตัวของไอออนบวกและไอออนลบ
5).ค่าEN : ยิ่งต่างกันมากยิ่งเป็นไอออนิกมาก (ไม่มีไอออนิก 100% เพราะไม่มีการระบุว่าค่าEN แตกต่างกันเท่าไรจึง 100%)
6).ความแข็งแรงของพันธะ: แข็งแรงรองจากพันธะโลหะ เพราะเกิดจากไอออนบวกับไอออนลบดึงดูดกันอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด
7).ลักษณะของสารประกอบ: สารประกอบไอออนิกเป็นของแข็งเสมอที่ RTP ไม่นำไฟฟ้าในสภาพของแข็งแต่นำไฟฟ้าได้ดีเมื่อหลอมเหลว ทั้งนี้เนื่องจากเป็นของแข็งไอออนเคลื่อนที่ไม่ได้ แต่เมื่อเป็นของเหลวไอออนเคลื่อนที่ได้ จุดเด่นของสารประกอบไอออนิกคือ แข็งแต่เปราะไม่เหมือนโลหะที่แข็งและเหนียว


พันธะโลหะ


พันธะโลหะ
1).ธาตุคู่รวมพันธะ: เกิดจากการเข้าทำพันธะของธาตุโลหะเดียวกันทุกธาตุต่อเนื่องทั้งแท่งโลหะ  (โลหะ+โลหะ)
2).สารประกอบที่ได้: เรียกว่าสารประกอบ
3).การใช้งานอิเล็กตรอน: เกิดจากอะตอมของธาตุโลหะไม่ต้องการใช้งานอิเล็กตรอนวงนอกสุด  จึงปลดอิเล็กตรอนออกมาทำให้เกิดอิเล็กตรอนอิสระจำนวนมหาศาลในโลหะ (Sea of electron)  เกิดคุณสมบัติทางกายภาพของโลหะมากมาย
4).สูตรสารประกอบ: ไม่มีสูตรสารประกอบ เนื่องจากไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนของอะตอมที่เข้าร่วมพันธะเพราะมีเยอะมากจึงมีแต่สูตรอย่างง่าย(Empirical Fomular)เช่น Fe ,Na ,K ,Ag ,Cu เป็นต้น
5).ค่าΔEN: เท่ากับศูนย์ เพราะเกิดจากธาตุเดียวกันเข้าทำพันธะกัน
6).ความแข็งแรงของพันธะ: แข็งแรงมาก  เพราะเกิดจากแรงทางไฟฟ้าอันมหาศาลของประจุบวกที่เกิดจากโปรตอนในนิวเคลียสดึงดูดกันกับกลุ่มหมอกอิเล็กตรอนที่เป็นประจุลบ
7).ลักษณะของสารประกอบ:
·         โลหะจะแข็งและเหนียวต่างจากโคเวเลนต์ และไอออนิก ที่แข็งแต่เปราะ
·         นำไฟฟ้าได้ดีทุกทิศทาง เพราะมีอิเล็กตอนจำนวนมากเคลื่อนที่อยู่รอบผิวแท่งโลหะ
·         มีผิวมันวาวเคาะแล้วมีเสียงก้องกังวานเพราะ กลุ่มหมอกอิเล็กตรอนสามารถสะท้อนแสงได้ และสามารถสั่นพ้องได้
·         จุดเดือดจุดหลอมเหลวของสารประกอบโลหะสูงมากโดยเฉพาะโลหะทรานสิชันจะสูงกว่า 1000˚ͦ C เพราะความแข็งแรงของพันธะโลหะที่มากขึ้นนั่นเอง
8).สมบัติเด่นของโลหะหมู่ IA – IIIA :
·         หมู่ IA : เนื้ออ่อน ไม่แข็ง ความหนาแน่นต่ำกว่าน้ำ(ลอยน้ำได้) จุดหลอมเหลวต่ำ (Cs จุดหลอมเหลว 27 ˚ͦ C) ทำปฏิกิริยารุนแรงกันน้ำ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเบส
·         หมู่ IIA : แข็งแรงกว่าหมู่ IA ความหนาแน่นมากกว่าน้ำ แต่ไม่ถือว่าสูงมาก จุดหลอมเหลวสูงกว่าหมู่ IA เยอะ (หมู่ IA จัดอิเล็กตรอนระดับออบิทัลเสถียร) ประมาณ 100-700 ˚ͦ C พบมากบนพื้นโลก(Mg ,Ca พบมากที่สุด) และในตัวของสัตว์เปลือกแข็ง
·         หมู่ IIIA : เป็นโลหะเนื้อแข็ง ความหนาแน่นสูง แข็งแรง จุดหลอมเหลวสูงกว่า 1000 ˚ͦ C ส่วนใหญ่ใช้ในงานอุตสาหกรรมก่อสร้างไดแก่ B ,Al


มุมแนะนำ